ช่วงเวลาของ ลิเวอร์พูล ภายใต้การคุมทีมของ อาร์เน่่ ในฤดูกาลนี้ มักถูกเปรียบเสมือนคำพูดของ ไมค์ ไทสัน ก่อนขึ้นชกกับ อีแวนเดอร์ โฮลีฟิลด์: "ทุกคนมีแผน จนกว่าจะถูกต่อยเข้าปาก"
ทุกอย่างที่วางไว้ตั้งแต่ แผนการเล่น, ระบบทีม, จนถึง บทบาทนักเตะใหม่ ต้องถูกปรับเมื่อเจอความจริงในสนาม และหนึ่งในผลลัพธ์ที่สำคัญคือการค้นพบบทบาทใหม่ของ ฟลอเรียน เวียร์ตซ์ – การเล่นทางฝั่งซ้าย
การปรับบทบาทของเวียร์ตซ์: คำตอบของปัญหา
ในเกม แชมเปี้ยนส์ ลีก กับ เรอัล มาดริด เวียร์ตซ์ถูกโยกไปเล่นทางฝั่งซ้าย แม้จะไม่ใช่ตำแหน่งที่เขาคาดหวังไว้ตั้งแต่ย้ายมา ลิเวอร์พูล แต่บทบาทนี้กลับทำให้ทีมแก้ปัญหาได้หลายด้าน:
- สร้างโอกาสมากที่สุดในสนาม: เวียร์ตซ์สร้างโอกาสถึง 5 ครั้ง มากที่สุดในทีม
- ช่วยเกมรับ: เขาอยู่ในอันดับต้น ๆ ของทีมในการแย่งบอลกลับมา และช่วยปกป้อง แอนดี้ โรเบิร์ตสัน ทางฝั่งซ้าย
- ช่วยเกมต่อบอล: การถอยต่ำลงมารับบอลและเชื่อมเกม ทำให้แนวทางการเล่นของทีมลื่นไหลมากขึ้น
สิ่งนี้สะท้อนให้เห็นว่า เวียร์ตซ์สามารถผสมผสานความสามารถ เทคนิคสูง และ ความขยันไม่ลดละ ให้กับทีมได้อย่างลงตัว
สถิติยืนยันความทุ่มเท
- ระยะทางวิ่ง: 11.37 กิโลเมตร มากที่สุดในทีมในเกมกับเรอัล มาดริด
- เทียบกับ โดมินิก โซโบซไล ที่วิ่ง 10.61 กิโลเมตร
ตัวเลขเหล่านี้สะท้อนให้เห็นว่าเวียร์ตซ์ไม่เพียงแต่ทำหน้าที่ในเกมรุก แต่ยังทุ่มเทเต็มที่ในเกมรับอีกด้วย
ความหมายต่ออนาคตของเวียร์ตซ์และลิเวอร์พูล
แม้ เวียร์ตซ์ อาจยังอยากกลับไปเล่น เบอร์ 10 แต่บทบาททางฝั่งซ้ายช่วยให้เขา ยกระดับผลงานส่วนตัว และช่วยทีมได้อย่างชัดเจน
- เป็นทางออกให้สามประสานแดนกลาง (แม็ค อัลลิสเตอร์, โซโบซไล, กราเฟนแบร์ก) กลับมารวมตัวได้โดยไม่เสียสมดุล
- ให้ทีมมีความยืดหยุ่นในการปรับกลยุทธ์ในเกมต่าง ๆ
กล่าวได้ว่า แรงกระแทกที่เกิดขึ้นช่วงต้นฤดูกาล อาจไม่ใช่จุดจบของแผน แต่เป็นแรงผลักที่ทำให้ ลิเวอร์พูลค้นพบเส้นทางใหม่ที่แข็งแกร่งกว่าเดิม
สรุป
การปรับบทบาทของ ฟลอเรียน เวียร์ตซ์ ไปเล่นทางฝั่งซ้ายไม่เพียงช่วยแก้ปัญหาเฉพาะหน้า แต่ยังสะท้อนถึง แนวคิดของอาร์เน่่ ที่กล้าเปลี่ยนแผนเมื่อเจอความจริงในสนาม
สำหรับแฟนบอลลิเวอร์พูล นี่อาจเป็นจุดเริ่มต้นของ ยุคใหม่ของทีม ที่สามารถปรับตัวและแข็งแกร่งขึ้นได้จากความยืดหยุ่นและการใช้จุดแข็งของนักเตะอย่างเต็มที่
เอซี มิลาน อดีตมหาอำนาจแห่งยุโรป


.jpg)





แสดงความคิดเห็น