ศึก "แดงเดือด" ที่มีมากกว่าแค่ศักดิ์ศรี: บทพิสูจน์ระบบใหม่ของ ลิเวอร์พูล ยุค อาร์เน่อ
เกมแดงเดือดระหว่าง ลิเวอร์พูล vs แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ที่จะเกิดขึ้นในคืนวันอาทิตย์นี้ อาจไม่ใช่แค่แมตช์แห่งศักดิ์ศรีอย่างที่หลายคนคุ้นเคย แต่คือจุดชี้ชะตาของ ยุคใหม่ในถิ่นแอนฟิลด์ ภายใต้การคุมทีมของเฮดโค้ชชาวดัตช์อย่าง อาร์เน่อ ที่กำลังเผชิญความกดดันครั้งใหญ่ที่สุดนับตั้งแต่เข้ามารับตำแหน่ง
อาร์เน่อ กับเกมชี้วัดความเชื่อมั่น
หลังความพ่ายแพ้ 3 นัดติดต่อกัน เสียงวิจารณ์เกี่ยวกับแนวทางการทำทีมของ อาร์เน่อ เริ่มดังขึ้นเรื่อยๆ อย่างไรก็ตาม เจ้าตัวยืนกรานชัดเจนว่า
“นี่คือช่วงเวลาที่เราจะได้เห็นว่า ลิเวอร์พูล ทีมนี้ แกร่งจริงหรือไม่”
เกมกับ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด จึงกลายเป็นมากกว่าสามแต้ม แต่มันคือ การทดสอบหัวใจของทีม ว่าจะตอบสนองต่อความกดดันได้ดีแค่ไหน
การกลับมาแบบค่อยเป็นค่อยไปของ อิซัค และ แม็ค อัลลิสเตอร์
หนึ่งในประเด็นสำคัญก่อนเกมคือความพร้อมของนักเตะตัวหลักที่ยังไม่ฟิตสมบูรณ์ 100% โดยเฉพาะ อเล็กซานเดอร์ อิซัค และ อเล็กซิส แม็ค อัลลิสเตอร์ ซึ่ง อาร์เน่อ ให้เวลากับทั้งสองในการเรียกจังหวะการเล่นอย่างระมัดระวัง
- อิซัค เริ่มกลับมาฟิตใกล้เต็มร้อย หลังจากมีปัญหาการซ้อมช่วงปรีซีซัน
- แม็ค อัลลิสเตอร์ เพิ่งทำผลงานโดดเด่นกับทีมชาติอาร์เจนตินา ยิงไป 2 ประตูในเกมกับเปอร์โตริโก และลงสนามครบ 90 นาที
ทั้งคู่ รวมถึง คอเนอร์ แบรดลีย์ คือสามนักเตะที่ อาร์เน่อ มองว่าเป็นคีย์แมนในโครงสร้างระยะยาว และต้องสร้าง “ความต่อเนื่อง” ให้ได้โดยเร็ว
ปัญหาบทบาทใหม่ของ โมฮาเหม็ด ซาลาห์
แม้ยังเป็นหนึ่งในนักเตะสำคัญของทีม แต่ โมฮาเหม็ด ซาลาห์ ดูเงียบลงอย่างเห็นได้ชัดในฤดูกาลนี้ โดยมีเพียง 3 ประตู 3 แอสซิสต์ จาก 10 นัด เท่านั้น
เมื่อเจาะลึกลงไปในตัวเลข สถิติของเขาก็สะท้อนการเปลี่ยนแปลงชัดเจน:
- การสัมผัสบอลในกรอบเขตโทษลดลงจาก 9.2 เหลือ 4.9 ครั้งต่อ 90 นาที
- การสร้างคีย์พาสลดลงกว่า 25%
สาเหตุสำคัญคือบทบาทในระบบใหม่ของอาร์เน่อ ที่เน้นการประสานงานระหว่างฟูลแบ็กกับปีก และการดัน ฟลอเรียน เวียร์ตซ์ ขึ้นมายืนหมายเลข 10 อย่างถาวร ทำให้พื้นที่ของ ซาลาห์ ถูกจำกัด
แต่ในเกมกับ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ซึ่งเป็นทีมที่เขายิงใส่มากที่สุด (16 ประตู) ซาลาห์อาจได้โอกาสสำคัญในการ “ปลุกความเป็นราชา” กลับมาอีกครั้ง
อัปเดตอาการบาดเจ็บก่อนแดงเดือด
ลิเวอร์พูล ยังต้องรับมือกับปัญหาอาการบาดเจ็บของนักเตะหลายราย:
- อิบราฮิมา โกนาเต้ กลับมาซ้อมและน่าจะพร้อมลงสนาม
- ไรอัน กราเฟนแบร์ก ฟิตเต็มร้อย หลังถูกเปลี่ยนออกจากเกมทีมชาติเพื่อป้องกันไว้ก่อน
- อลีสซง เบ็คเกอร์ พักยาวจากอาการเจ็บแฮมสตริง พลาด 3 นัดรวมถึงเกม UCL กับ แฟรงค์เฟิร์ต
- วาตารุ เอนโด ยังไม่มีอัปเดตเพิ่มเติมหลังถอนตัวจากทีมชาติญี่ปุ่น
- จิโอวานนี่ เลโอนี่, สเตฟาน บายเซติช และ เจย์เดน แดนส์ ยังอยู่ในกลุ่มที่พักรักษาตัวระยะยาว
สถิติที่น่าสนใจก่อนเกม ลิเวอร์พูล vs แมนยู
- ลิเวอร์พูล แพ้แมนยูแค่ 1 จาก 14 นัดหลังสุดในพรีเมียร์ลีก (ชนะ 7 เสมอ 6)
- ไม่แพ้แมนยูที่แอนฟิลด์มาแล้ว 9 เกมติด
- หากไม่แพ้เกมนี้อีก จะเทียบสถิติ เชลซี ที่ไม่แพ้แมนยูในบ้าน 10 นัดติด
- แมนยู ไม่ชนะเกมเยือนพรีเมียร์ลีกมา 8 นัดติด ซึ่งเป็นสถิติเลวร้ายสุดตั้งแต่ปี 1989
นอกจากนี้:
- ลิเวอร์พูล มีถึง 4 เกมในซีซั่นนี้ที่ยิงช่วงทดเวลา (90+ นาที)
- ฟลอเรียน เวียร์ตซ์ สร้างโอกาส 20 ครั้ง มากสุดในลีกสำหรับผู้เล่นที่ยังไม่มีประตูหรือแอสซิสต์
- บรูโน่ แฟร์นันด์ส สร้างโอกาสมากสุดในลีก (19 ครั้ง) แต่ยัง ไม่มีแอสซิสต์
บทสรุป: แดงเดือดที่มีมากกว่าสามแต้ม
เกมนี้คือ บทพิสูจน์ความเชื่อมั่นของลิเวอร์พูลยุคอาร์เน่อ ไม่ว่าจะเป็นระบบการเล่นใหม่, การจัดการนักเตะฟิตไม่เต็มร้อย, หรือแม้แต่การรับมือกับเสียงวิจารณ์จากภายนอก
"ตอนนี้ไม่สำคัญว่าเจอใคร ผู้เล่นทุกคนต้องตอบสนอง" – อาร์เน่อ
คำว่า "Reaction" จึงกลายเป็นธีมของเกมนี้
- จะเป็นวันที่ อิซัค แจ้งเกิด?
- วันที่ ซาลาห์ กลับมาเป็นราชาแห่งแอนฟิลด์?
- หรือวันที่ระบบของอาร์เน่อ พิสูจน์ว่ามีอนาคต?
คำตอบทั้งหมดจะปรากฏใน ค่ำคืนวันอาทิตย์นี้ ที่แอนฟิลด์
อ่านเกมหลังแมตช์ เปแอสเช 3-3 สตราส์บูร์ก – ปารีสรอดตายสุดมันส์
เบิร์นลีย์ ทีมที่คว้าแชมป์ครบทุกดิวิชันในอังกฤษ
🎉 สมัครสมาชิกวันนี้!
🌟 ลุ้นรับสิทธิพิเศษและร่วมสนุกกับกิจกรรมดีๆ มากมาย
📲 คลิกที่นี่เลย 👉 https://line.me/R/ti/p/@pz99








แสดงความคิดเห็น